Hi-Balanz Calcium D Plus (CC-30)
Hi-Balanz Calcium D Plus 30 Tablets
แคลเซียมซิเตรต 1,000 มิลลิกรัม เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ดูดซึมง่าย ไม่ต้องใช้น้ำย่อยหรือกรดในกระเพาะในการดูดซึม พร้อมวิตามินดี และแมกนีเซียม ช่วยในการดูดซึมและนำพาแคลเซียมไปใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ส่วนประกอบสำคัญใน 1 เม็ด
- ไตร แคลเซียม ซีเตรต 1,000 มก.
- แมกนีเนียม อมิโน แอซิด คีเลต 20% 300 มก.
- วิตามิน ดี 3 0.43 มก.
รับประทานวันละวันละ 1-2 เม็ด หลังอาหาร
ขนาด 30 เม็ด
อย.เลขที่ 13-1-02954-1-0704
ทำไมต้องกินแคลเซียม?
แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญในการทำงานของระบบร่างกาย และยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน ที่เป็นโครงร่างของร่างกาย และคอยปกป้องอวัยวะสำคัญไม่ให้ได้รับอันตราย ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างแคลเซียมได้เอง ถึงแม้เราจะสามารถสะสมแคลเซียมที่กินเข้าไปได้ แต่พออายุ 30 จะไม่สามารถสะสมแคลเซียมได้อีกต่อไป และร่างกายก็ยังคงใช้แคลเซียมไปจนสิ้นอายุขัย ทำให้เราต้องเติมแคลเซียมเข้าไปให้เพียงพอ เพื่อที่จะไม่เกิดโรคกระดูกพรุน
ร่างกายใช้แคลเซียมอย่างไร?
แคลเซียมกว่า 99 % ในร่างกายจะถูกสะสมอยู่ในกระดูก และจะถูกดึงออกไปเพื่อใช้งานทุกๆวัน วันละประมาณ 700 mg ในกระบวนการละลายกระดูก (Resorption) แต่จะได้เสริมกลับเข้าไปใหม่พร้อมกับการสร้างกระดูก (Formation) อยู่ตลอดเวลา ขึ้นกับภาวะโภชนาการ ปริมาณแคลเซียมในเลือด ฮอร์โมน และอายุ แคลเซียมอีกประมาณ 1% จะอยู่ในกระแสเลือด เพื่อช่วยสร้างฮอร์โมนและเอนไซม์ต่างๆ ให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ โดยมีหน้าที่สำคัญทั้งในระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยทำให้เลือดแข็งตัว และยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคอีกด้วย ด้วยหน้าที่สำคัญเหล่านี้ ร่างกายจึงต้องพยายามรักษาระดับแคลเซียมในเลือดอย่างเต็มที่ เมื่อขาดแคลเซียมในเลือด ก็จะไปดึงเอาแคลเซียมในกระดูกมาใช้แทน แต่ถ้าไม่ได้เติมแคลเซียมเข้าไปให้เพียงพอกับที่ดึงออกไป ก็จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง
แคลเซียมแบบไหนดีกว่ากัน? แคลเซียมที่ขายในท้องตลาดมี 3 ชนิด
- Calcium carbonate เป็นแคลเซียมที่มีขายมากที่สุดในท้องตลาดเนื่องจากมีราคาถูก ต้องกินหลังอาหาร หรือพร้อมน้ำส้ม เพื่อให้ดูดซึมได้ อัตราดูดซึมค่อนข้างต่ำ อาจทำให้เกิดลมในกระเพาะ หรือท้องผูกได้ ถ้ากินมากๆอาจทำให้ไตขับออกไม่ทัน และสะสมจนมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดนิ่วในไตได้
- Calcium phosphate ดูดซึมได้ง่ายกว่าแคลเซียมคาร์บอร์เนต ไม่ทำให้เกิดลมในท้องหรือท้องผูก แต่มีราคาแพง และไม่ค่อยมีขายมากนัก
- Calcium citrate สามารถดูดซึมได้ง่าย ละลายได้ดีกว่าแคลเซียมฟอสเฟต แตกตัวแล้วดูดซึมได้เลย ไม่จำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยหรือกรดเพื่อช่วยในการดูดซึม สามารถกินเวลาไหนก็ได้ของวัน และไม่ก่อให้เกิดนิ่วในไต
ต้องเสริมแคลเซียมเข้าไปวันละเท่าไหร่?
- สำหรับผู้ที่อายุน้อยกว่า 50 ปี ควรได้รับแคลเซียมวันละประมาณ 1,000 mg. ส่วนผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไปวันละประมาณ 1,200 mg.
กินแคลเซียมอย่างไรให้ได้ประโยชน์ที่สุด?
- กินร่วมกับวิตามินดี เพราะวิตามินดีจะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซึมแคลเซียมให้ร่างกายมากกว่าปกติถึง 65 % โดยเฉพาะในคนที่ไม่ค่อยได้เจอแสงอาทิตย์ เนื่องจากวิตามินดีจะสังเคราะห์ได้เองเมื่อร่างกายเจอแสงธรรมชาติ
- กินร่วมกับแมกนีเซียม ที่เป็นตัวช่วยนำเพื่อให้ร่างกายสามารถนำแคลเซียมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอัตราส่วนที่ดีที่สุดของแคลเซียมต่อแมกนีเซียมคือ 2 ต่อ 1 หรือ 3 ต่อ 1
- ควรกินแคลเซียมหลังจากกินยาแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้แคลเซียมไปขัดขวางการดูดซึมยาที่กิน ผู้ที่ใช้ยาขับปัสสาวะควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
สารสำคัญใน Hi-Balanz Calcium D Plus
แคลเซียม ซิเตรต (Calcium Citrate)
แคลเซียม เป็นแร่ธาตุหลักที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน แคลเซียมซิเตรตเป็นรูปของแคลเซียมที่ดูดซึมง่าย ไม่ต้องอาศัยน้ำย่อยหรือกรดเพื่อช่วยในการดูดซึม ดูดซึมได้เร็วกว่าและสามารถนำไปใช้ได้ทันที เพื่อซ่อมแซมกระดูกและฟันที่สูญเสียแคลเซียมไปในแต่ละวัน แคลเซียมยังช่วยทำให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างปกติ
แมกนีเซียม (Magnesium)
แมกนีเซียมเป็นสารที่สำคัญกับร่างกายพอๆกับแคลเซียม ทำงานร่วมกับแคลเซียมในการควบคุมระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่จำเป็นในการเผาผลาญ ช่วยไม่ให้แคลเซียมจับตัวอยู่ตามอวัยวะต่างๆ (ป้องกันการเกิดนิ่ว) ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นถึง 65% เมื่อบริโภคแคลเซียมก็ควรจะบริโภคแมกนีเซียมเสริมด้วยเนื่องจากจะต้องทำงานร่วมกัน แยกจากกันไม่ได้
วิตามินดี 3 (Vitamin D3)
ช่วยกระตุ้นการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีความสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน ควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดให้เป็นปกติ ลดการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย มีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ ควบคุมการดูดซึมกรดอะมิโนกลับสู่ร่างกายของไต โดยปกติเมื่อได้รับวิตามินดีแล้ว ร่างกายจะเปลี่ยนให้เป็นวิตามินดี 3 เพื่อใช้งาน การบริโภควิตามินดี 3 ไปเลย จึงทำให้วิตามินสามารถทำงานได้ทันที ไม่ต้องรอร่างกายเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สมบูรณ์ จนทำให้เกิดภาวะขาดวิตามินดีได้